เพื่อนๆ ล้มเหลวมากเหมือนคนผู้นี้หรือยัง ถึงคิดยอมแพ้

สวัสดีครับเพื่อนๆ

   เพื่อนๆ ของอ่านและเดาดูสิครับว่าบุคคลที่ล้มเหลว และต่อมาสำเร็จคนนี้เป็นใคร ที่เสนอเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนๆ ที่กำลังท้อแท้ เนื่องมาจากความล้มเหลว อ่านชีวิตของคนผู้นี้ดูแล้ว เพื่อนๆ จะคิดว่าความล้มเหลวของเพื่อนๆ น่ะนิดเดียวเอง


ชายผู้นี้เป็นเด็กกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ เขาเป็นลูกคนโตมีพี่น้องทั้งหมดสามคน แม่ผู้ซึ่งทำหน้าที่ดูแลลูกก็มีฐานะยากจนต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดู ลูกไปตามสภาพ เขาเรียนหนังสือได้จนถึงอายุ 16 ปี ก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เขาต้องทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีการต่างๆ เขาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าจนแทบตั้งตัวไม่ติด ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง ตอนอายุ 18 ปี เขาได้แต่งงานและมีครอบครัวมีลูกสาวที่น่ารักอีกหนึ่งคนในปีถัดมา แต่ความสุขก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน ความไม่ได้เรื่องของเขาในการดำเนินชีวิตของเขา ทำให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากต้องหอบเอาลูกสาวหนีไป เพราะไม่สามารถที่จะอดทนใช้ชีวิตอยู่กับความไม่เอาไหนของเขาได้อีกต่อไป ในขณะที่เขามีครอบครัวเขาได้ทำงานเป็นพนักงานขายตั๋วรถไฟเขาก็ล้มเหลว แต่เขาก็พยายามต่อสู้กับชีวิตของเขา ด้วยการแสวงหาโอกาสดีๆให้กับตัวเอง แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิม เขาพยายามสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกจากทหารในที่สุด หรือแม้กระทั่งสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมายก็ถูกปฏิเสธอย่างไม่เป็นท่า ชีวิตของเขา.....ล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีกกับความไม่เอาไหนของเขา ในที่สุดเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป “ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกครั้ง”

แค่เริ่มต้นกับชีวิตของชายคนนี้ มันก็คงจะมองไม่เห็นอะไรดีสักอย่าง การงานก็ล้มเหลว ครอบครัวก็แตกแยก แล้วเขาจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร คุณก็คงคิดเหมือนผมว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง ก็อย่างว่าแหละ คนเรามันจะดีไปเสียหมดทุกเรื่องมันก็ไม่มี คนเราจะแย่ไปเสียหมดทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ สิ่งหนึ่งที่ชายคนนี้ค้นพบ เขาพบว่า สิ่งที่เขาพอจะทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร ดังนั้นเขาจึงไปสมัครงานเป็นพ่อครัวในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่จะมีคุณค่าอะไรเลยกับการดำรงชีวิตของเขา

ชีวิต ของเขาดำเนินต่อไปอย่างง่ายๆ ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งนั้น เขาไม่เคยคิดถึงอนาคตของเขา เขาไม่เคยคิดที่จะทำอะไรให้กับชีวิตที่มันดีกว่าที่เป็นอยู่ เขาเอาเวลาทั้งหมดที่ว่างจากงานเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่ภรรยาและลูก เขาไม่ได้คิดเลยว่า..... เพราะความไม่เอาไหนของเขาเองต่างหากที่ทำให้ภรรยาและลูกของเขาต้องจากไปจาก ครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมา เขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใย เขายังคงเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องภรรยาและลูกสาวที่น่ารักของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วความคิดของเขาก็ตกผลึก เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป เขาต้องการลูกสาวที่น่ารักของเขากลับคืนมาให้จงได้ ด้วยความคิดถึงลูกสาวอย่างเป็นที่สุด ก็ทำให้เขาคิดเลยเถิดไปถึงการลักพาตัวลูกสาวของเขาเอง เขาใช้เวลาว่างทั้งหมดที่ว่างจากงาน ครุ่นคิดและวางแผนไปสู่ทุกขั้นตอนที่จะลักพาตัวลูกสาวเขาอย่างไร เขาคิดทุกย่างทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบ ที่จะลักพาตัวลูกสาวอันแสนน่ารักของเขากลับมาสู่อ้อมกอดของเขาให้จงได้ ในที่สุดแผนการอันยาวนานก็พร้อมที่จะดำเนินการ ชายผู้นี้ด้วยวัยอันน้อยนิดยังอยู่ในวัยรุ่นเสียด้วยซ้ำ ก็เริ่มลงมือปฏิบัติการทันที เขาเฝ้าซุ่มตัวอยู่เงียบๆในพุ่มไม้ นอกบ้านของภรรยาของเขา เขาเฝ้ามองลูกสาวเล่นอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน อยู่ด้วยความสงบและเตรียมพร้อมที่จะลงมือลักพาตัว ถ้าลูกสาวเขาออกมาวิ่งเล่นในสนามหน้าบ้านเหมือนอย่างทุกวัน ที่เขามาแอบดู เขารู้สึกกังวล ตื่นเต้นทุกลมหายใจเข้าออก เขากำลังจะเป็น “อาชญากร” แค่นั่นมันก็เทียบไม่ได้กับความรักที่เขามีให้กับลูกสาวที่น่ารักของเขา อย่างสุดหัวใจ เขาเฝ้ารออย่างเงียบๆด้วยใจที่เต้นอย่างระทึกอยู่หลังพุ่มไม้ วันนี้ไม่ว่าจะต้องให้เฝ้ารออีกนานเท่าใด เขาก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้ แต่โอ้อนิจจา..........วันนั้นลูกสาวของเขาไม่ออกมาเล่นที่สนามหน้าบ้านเลย

คุณ ลองนึกดูแม้กระทั่งความพยายามในการที่จะก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลว เขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา เหมือนกับชีวิตเขาถูกกำหนดมาเช่นนั้น รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่า และเหมือนเพราะพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่า เขาจะต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิตกับความล้มเหลวซ้ำซาก แต่ในที่สุดเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับเขา เขาสามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้พร้อมกับลูกสาวที่น่ารักของ เขาได้ พวกเขาก็ได้ทำงานอยู่ด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาแก่เฒ่าเกษียณตอนอายุ 65 ปี แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบลงแค่นี้ วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขาจากรัฐบาล เป็นจำนวนเงิน 105 ดอลลาร์ เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจเลยแม้สักน้อย เงินที่ได้รับมันน้อยกว่าค่าจ้างที่เขาเคยได้รับในการทำงานในร้านกาแฟเสีย อีก ชีวิตเขาและภรรยาจะอยู่ได้ต่อไปอย่างไร เพราะเขาไม่มีเงินเก็บพอที่จะอยู่อย่างสุขสบายในวัยชรา เช็คฉบับดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้วทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิตของ เขาอยู่ไปวันๆจนกระทั่งวาระสุดท้าย ของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล มันดังกึกก้องอยู่ในใจเขาตลอดเวลา เหมือกับว่า ความล้มเหลวกำลังจะมาเยือนเขาอีกครั้ง และนี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลวและท้อแท้ ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งจนแทบตั้งตัวไม่ติดหลังจาก 65 ปีอันแสนยาวนาน กับความอ่อนล้าและอ่อนแรงเต็มที เขาบอกกับตัวเองว่า...... “ถ้ำเขาดูแลตัวเองไม่ได้ และต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแลแบบตามมีตามเกิด เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” เขาครุ่นคิดอยู่นานจนในที่สุดตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า........ “จะฆ่าตัวตาย”

ความอ่อนแรงและอ่อนล้าดูเหมือนจะซ้ำเติมชีวิต เขาอย่างไม่ยอมลามือง่ายๆ เขาท้อแท้หมดหวังจนถึงที่สุด ในที่สุดเขาก็หยิบเอากระดาษหนึ่งแผ่นพร้อมกับดินสอ เดินออกไปในสวนหลังบ้าน นั่งลงใต้ต้นไม้อย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรมเป็นครั้งสุดท้าย เขานั่งถอนใจอยู่สักพัก ทอดสายตามองออกไปแบบเลื่อนลอยและสิ้นหวัง

ขณะ ที่ปล่อยให้ความคิดที่จะเขียนคำสั่งเสียออกมานั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เป็นครั้งแรกที่ชีวิตที่ทำให้เขาเกิดปัญญา

แทน ที่เขาจะเขียนคำสั่งเสียตามที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก เขากลับเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น สิ่งที่ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาพึงปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาตกใจมากและรู้สึกประหลาดใจอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่าเขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับ เขาเลยสักอย่าง!

เขานั่งครุ่นคิดและพิจารณาวิเคราะห์กับตัว เองอย่างจริงจังอยู่นาน มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้และทำได้ดี บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาค้นพบคำตอบในชีวิตเขาแล้ว ใช่! เขาตอบตัวเองอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและพลัง.....“เขารู้วิธี การปรุงอาหารเป็นอย่างดี” ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขาอยู่ที่หน้าเตาร้อนๆมาเกือบตลอดชีวิต เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมอย่างไม่เคยรู้สึกมา ก่อน แล้วในที่สุด เขาก็เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อที่ทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความ สำเร็จ เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ถ้าเขาจะตายเขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนที่เขาอยากจะ เป็น นั่นก็หมายถึง ความสำเร็จในชีวิตที่ใครหลายๆคนพึงปรารถนา และทำในบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่อันน้อยนิดของเขา ด้วยวัยชราที่อายุปาเข้าไป 65 ปี ไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาขวางกั้นเขาได้เลย เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาลุกขึ้นจากโคนต้นไม้ในสวนหลังบ้าน มุ่งหน้าที่จะไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์ จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขา ด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้าน และลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นมันขึ้นมาในช่วงหลายปี ที่ทำงานที่ร้านกาแฟแห่งนั้น เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาแบง่ายๆ ตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา

แล้วชายชราที่ขายไก่ทอด อายุ 65 ปี ที่ใครบางคนก็คิดว่าเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง คนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันแซนเดอร์ส ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง
 



ตอนเขา อายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนตัวแทนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี เขาก็กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ ผู้พันแซนเดอร์สเป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจาก ผู้คนทั่วโลก แต่จะมีใครจะรู้บ้างไหมว่า หากที่ใต้ต้นไม้วันนั้น ผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก ตำนานของไก่ทอดที่เลื่องลือไปทั่วโลกก็อย่าง KFC คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกันทุกวันนี้ จริงอย่างที่คำกล่าวที่ว่า “ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ” มันอยู่ที่ว่า คุณเลือกที่จะ.. “ล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก” หรือ “ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส นั้น 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จที่เขาได้รับ

แล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?


แด่ความล้มเหลวที่เป็นบทเรียนทำให้คุณแข็งแกร่งพร้อมลุกสู้ของคุณ

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาโดย Google

Custom Search